วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข้อมูลหุ้น BLAND

ข้อมูลเพิ่มเติม เร็วๆนี้





 ราคาเดินนิ่มๆ ค่อยๆขึ้นไปเรื่อยๆ ตาม เทรน


รายการซื้อขายของ ผู้บริหาร เก็บไปเยอะมาก

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข้อมูลหุ้น IPO หุ้น UWC ที่จะซื้อขายวันที่ 11.07.55


บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน)

ประกอบธุรกิจ
รับผลิตเสาโครงเหล็กประเภทเสาโครงเหล็กสายส่งไฟฟ้าแรงสูง เสาโครงเหล็กโทรคมนาคม เสาโครงเหล็กสถานีไฟฟ้าย่อย งานโครงเหล็กทั่วไป และให้บริการ ชุบสังกะสีแก่ลูกค้า

โครงสร้างรายได้ของบริษัท ปี 2554
1.รายได้จากการรับงานโครงการเสาโครงเหล็กสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 47.91%
2.รายได้จากการรับงานโครงการเสาโครงเหล็กโทรคมนาคม             7.44%
3.รายได้จากการรับงานโครงการเสาโครงเหล็กสถานีไฟฟ้าย่อย      12.14%
4.รายได้จากการรับงานโครงเหล็กทั่วไป                                           20.21%
5.รายได้จากค่าบริการชุบสังกะสี                                                         3.63%


ผู้ถือหุ้นใหญ่
                   บริษัท CEN                                65.12%
                   ครอบครัวลีนะบรรจง                     4.73%
                   นายเดชขจร  ธีรวิจารณญาณกุล   1.70%

ทุนจดทะเบียน  350 ล้านหุ้น หุ้นละ  1  บาท
โดยจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไป 99.496 ล้านหุ้น 
(แบ่งเป็น 28.3 ล้านหุ้นให้กับผู้ถือหุ้น CEN เดิมและอีก 71.196 ล้านหุ้นให้กับบุคคลทั่วไป)

กำไรต่อหุ้น            มูลค่าหุ้นทางบัญชี 
ปี 2551 = -0.23     1.83
ปี 2552 =  0.05      1.77
ปี 2553 =  0.165    1.87
ปี 2554 =  0.123    1.82

ราคา IPO = 1.80 บาท

ปัจจัยเด่น

- P/E ปัจจุบัน ณ ราคา IPO อยู่ที่ระดับ 14 เท่า ถือว่าสูง เมื่อเทียบกับ หุ้น IPO ก่อนหน้า SRICHA ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
- บริษัท CEN ซึ่งถือหุ้นอยู่ 65% ในไตรมาส 1.55 มีผลขาดทุน แสดงว่า ตัวบริษัท UWC ไม่สามารถสร้างกำไรได้
- เล่นได้แค่เพียงเก็งกำไร กับจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนไม่สูงมากนัก

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ข้อมูลหุ้น TPIPL

บริษัท ทีพีไอ โพลีน  จำกัด (มหาชน) : TPIPL

ประกอบธุรกิจ
1.ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ ปูนเม็ด และปูนสำเร็จรูปชนิดต่างๆ มีโรงงานผลิตอยู่ที่จังหวัดสระบุรี โดย เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่หนึ่งในสามของประเทศ  มีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 18 ของปริมาณการจำหน่ายทั้งหมดในประเทศ และเป็นผู้ผลิตปูนสำเร็จรูปรายใหญ่หนึ่งในสองของประเทศ
 2.ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก LDPE 2 ชนิด ได้แก่ LDPE Homopolymer (LDPE) และ LDPE Copolymer (EVA) ที่โรงงานในจังหวัดระยอง  LDPE เป็นเม็ดพลาสติกประเภทที่นำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกหลายประเภท โดยบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดในผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก LDPE และ EVA สูงสุดในประเทศ ร้อยละ 25 และร้อยละ 90 ตามลำดับ ของปริมาณการจำหน่ายทั้งหมดในประเทศ นอกจากนี้บริษัทฯยังเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในประเทศและไม่กี่รายในโลกที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเม็ดพลาสติก EVA
3.ผลิตและจำหน่ายคอนกรีตผสมเสร็จรายใหญ่ของประเทศ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 13 ของปริมาณการจำหน่ายทั้งหมดในประเทศ ภายใต้ตราทีพีไอ พีแอล 
4.อื่นๆ ได้แก่ ธุรกิจรับกำจัดกากอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระเแสไฟฟ้า ธรุกิจสถานีให้บริการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (NGV) ธุรกิจปุ๋ยชีวะอินทรีย์ธรรมชาติ ธุรกิจผลิตแอมโมเนียมไนเตรทและกรดไนตริก  ธุรกิจน้ำดื่มตราทีพีไอพีแอล  
เป็นต้น

โครงสร้างรายได้ของบริษัท (ปี 2554)
                มีรายได้จาก
                ปูนซีเมนต์                             39%
                เม็ดพลาสติก                         39%
                คอนกรีตผสมเสร็จ              12%
                อื่นๆ                                       10%      
   
ผู้ถือหุ้นใหญ่
                ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์                                              23.72 %
                บริษัท ไทย ปิโตรเคมีกัล อุตสาหกรรม จำกัด   13.63 %
                บริษัท เลียวไพรัตนวิสาหกิจ จำกัด                    10.37 % 

ทุนจดทะเบียน     2,019,000,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท

กำไรต่อหุ้น (บาท)                              มูลค่าหุ้นทางบัญชี
       ปี 2551 = -2.72                                  25.49
       ปี 2552 =  2.39                                   25.62
       ปี 2553 =  1.14                                   26.95
       ปี 2554 =  4.88                                   30.90
     Q1.2555 =  0.17                                  30.39



ปัจจัยเด่น 
- ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี เท่ากับ 0.40 เท่า ถือว่า ต่ำกว่า P/BV ของ SCC และ  SCCC 
(ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ อันดับ 1 และ อันดับ 2)
 
- หลุดจากคดีค่าปรับ 6,900 ล้านบาท แล้ว ถือว่าหมดห่วง คลายความกังวลได้


วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ข้อมูลหุ้น MAJOR

บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) : MAJOR

ประกอบธุรกิจ
ประกอบธุรกิจธุรกิจโรงภาพยนตร์ในแนว (Entertainment Complex)
คือ ธุรกิจโรงภาพยนตร์ โบว์ลิ่งและคาราโอเกะ ธุรกิจจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ ธุรกิจสื่อโฆษณา และธุรกิจให้เช่าพื้นที่
ปัจจุบันมีแบรนด์ทั้งหมด 6 แบรนด์ ดังนี้
•เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์
•อีจีวี ซีนีม่า
•พารากอน ซีนีเพล็กซ์
•เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์
•พาราไดซ์ ซีนีเพล็กซ์
•เมกะ ซีนีเพล็กซ์

โครงสร้างรายได้ของบริษัท  ปี 2554
1.รายได้จากธุรกิจโรงภาพยนตร์                     50%
2.รายได้จากจัดจำหน่าย VCD และลิขสิทธิ์       13%
3.รายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่ม          12%
4.รายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณา                         11%
5.รายได้จากธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ             7%
6.รายได้จากธุรกิจให้เช่าพื้นที่และบริการ             7%

ฐานลูกค้าบริษัท
•ผู้บริโภคภาพยนตร์ทุกประเภท และทุกวัย

ทุนจดทะเบียน 884.5 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 บาท

ผู้ถือหุ้นใหญ่
ตระกูลพูลวรลักษณ์          38.48%
NVDR                         12.37%

กำไรต่อหุ้น มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น
ปี 2551 = 0.71           6.12
ปี 2552 = 0.39           6.08
ปี 2553 = 0.91           6.31
ปี 2554 = 0.90           6.60
Q1.2555 = 0.27         6.99

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ข้อมูลหุ้น IPO หุ้น VIH ที่จะซื้อขายวันที่ 09.05.55

บริษัท ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน)

ดำเนินธุรกิจในรูปของเครือโรงพยาบาล คือ
1) โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล อ้อมน้อย
2) โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล หนองแขม
3) โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาคร
โดยมีจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยในรวม 520 เตียง
สัญญาการให้บริการกับโรงพยาบาลในระดับที่สูงกว่า (Supra Contractor) จำนวน 19 โรงพยาบาล
เพื่อการส่งต่อผู้ป่วยตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี และมีคลินิกเครือข่ายประกันสังคม 25 แห่ง

โครงสร้างรายได้ของบริษัท
1.รายได้จาก สาขา อ้อมน้อย       40%
2.รายได้จาก สาขา หนองแขม      34%
3.รายได้จาก สาขา สมุทรสาคร     26%

ฐานลูกค้าบริษัท
1.กลุ่มลูกค้าทั่วไป - ลูกค้าคู่สัญญา ลูกค้าโครงการกองทุนเงินทดแทน ลูกค้าต่างประเทศ ลูกค้าสมาชิก
2.กลุ่มลูกค้าตามโครงการเหมาจ่ายภาครัฐ - กองทุนประกันสังคม โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า โครงการประกันสุขภาพต่างด้าว

ผู้ถือหุ้นใหญ่
    ผศ.พญ.สายสุณี วนดุรงค์วรรณ    34.93%
    พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา           4.91%
    พญ.พัฎ โรจน์มหามงคล              4.91%

ทุนจดทะเบียน  535 ล้านหุ้น หุ้นละ  1  บาท
โดยจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไป 135 ล้านหุ้น 

กำไรต่อหุ้น        มูลค่าหุ้นทางบัญชี 
ปี 2551 = 0.04           1.98
ปี 2552 = 0.18           1.40
ปี 2553 = 0.20           1.56
ปี 2554 = 0.11           1.58

ราคา IPO = 1.25 บาท

มุมมองต่อราคาหุ้น
-  ประเมินราคา โดยเปรียบเทียบกับ กลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งมีการซื้อขายที่ระดับ P/E ที่แตกต่างกันมาก ดังนี้

กลุ่มโรงพยาบาลที่ ซื้อขาย P/E มากกว่า 25 เท่า
                 P/E      P/BV
VIBHA      53.15    2.31
BGH         32.07    4.40
BH           28.04    6.62
KH           25.05    5.23

กลุ่มโรงพยาบาลที่ ซื้อขาย P/E ระดับ ไม่เกิน 20 เท่า
                 P/E    P/BV
AHC        18.31    2.15
CMR        17.53    1.81
KDH        17.25    2.19
M-CHAI   13.51    2.20
NEW      ขาดทุน    0.45
NTV        14.85    2.35
RAM       13.91    3.96
SKR        12.24    1.28
SVH        12.58    2.15
TNH         9.52    2.31

จากข้อมูล ข้างต้น มีข้อสังเกตุว่า
กลุ่มที่ซื้อขาย P/E ระดับสูงกว่า 20 เท่า นั้น จะเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องสูง
มีชื่อเป็นที่รู้จักของนักลงทุน (หรือนักเล่นหุ้น) มีการเคลื่อนไหวของราคาที่เปลี่ยนแปลงมากกว่า อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหลายๆชื่อ ไม่เป็นที่คุ้นหู คุ้นตา (บางชื่อผมก็เพิ่งจะรู้ว่ามันมีในตลาดด้วย)

โดยที่กลุ่มโรงพยาบาลที่ซื้อขาย P/E ระดับไม่เกิน 20 เท่า เป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก มีสภาพคล่องต่ำ
บางตัวชื่อไม่คุ้นหู บางตัว ไม่มี BID OFFER ให้เห็นในแต่ละวันด้วย

ดังนั้น สำหรับมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น VIH ที่เข้าใหม่นี้ น่าจะมีสภาพคล่องสูง จากปริมาณหุ้น 135 ล้านหุ้น เป็นหุ้น IPO มาใหม่ และมีขนาดที่ใกล้เคียงกับโรงพยาบาลขนาดเล็ก ที่มีระดับ P/E ไม่เกิน 20 เท่า จึงคาดว่า จะต้องเทียบเคียงกับกลุ่มนี้เป็นหลัก โดยจากการประมาณโดยรวม P/E เฉลี่ยในกลุ่มนี้ น่าจะอยู่ที่ระดับ 15 เท่า

หากนำ P/E 15 เท่า มาคำนวณราคา VIH จะได้ราคาที่เหมาะสมประมาณ  1.65 บาท 

และหากสภาวะตลาดเป็นใจ สภาพคล่องสูง อาจจะมีโอกาสขึ้นไปเทียบกับกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้ ซึ่งเป็นระดับ P/E ที่สูงถึง 25 เท่า แต่ในกรณีนี้ ก็น่าจะคาดไว้แบบ Discount ด้วย ที่ P/E ระดับ 18 - 20 เท่า ก็ได้ราคาประมาณ 2.00 - 2.20 บาท

สรุป จากมุมมองส่วนตัวข้างต้นแล้วนั้น หากราคา ต่ำกว่า 1.65 บาท ก็น่าสนใจ เข้าซื้อ แต่หากเกิน ก็ต้องดูสภาวะตลาดประกอบอีกที ถ้าตลาดเป็นใจ ราคาไม่เกิน 2 บาท ก็คาดว่าน่าลุ้นครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เตรียมพบกับ ข้อมูลหุ้น MAJOR แบบละเอียดเร็วๆ นี้ครับ

ข้อมูลหุ้น BLA

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

ประกอบธุรกิจ
ประกันชีวิตโดยรับประกันชีวิตทั้งแก่บุคคลทั่วไป และการประกันชีวิตกลุ่ม โดยจะจัดสรรเบี้ยประกันรับส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินสำรองประกันชีวิต
และบริหารเงินสำรองประกันชีวิตโดยการนำไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ครอบคลุมภาระที่จะเกิดขึ้นและอาจจะเกิดขึ้นต่อผู้เอาประกัน


โครงสร้างรายได้ของบริษัท
เบี้ยปีแรก   (26.23%)   
เบี้ยปีต่อไป  (73.77%)
   เบี้ยประกันรวม         (85.90%)
รายได้จากการลงทุน    (14.05%)
รายได้อื่น                   ( 0.05%)


ฐานลูกค้าบริษัท
- กลุ่มลูกค้าจากเครือข่ายธนาคารกรุงเทพ


ทุนจดทะเบียน  1,200 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 บาท


ผู้ถือหุ้นใหญ่    
       MITSUBISHI UFJ GLOBAL CUSTODY S.A.          24.43%
                       บริษัท วัฒนโสภณพนิช จำกัด               15.38%
                       ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน)             7.74%
                       บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)   5.14%


กำไรต่อหุ้น             มูลค่าหุ้นทางบัญชี
ปี 2552 = 1.12        5.89
ปี 2553 = 2.33        7.81
ปี 2554 = 2.85        10.76


ปัจจัยเด่น
- คงระดับสำรองเงินประกันชีวิตจำนวนมากนี้ต่อเนื่องไปอีกในไตรมาส 1/55
เพื่อเร่งเพิ่มการขยายการลงทุนในสินทรัพย์ ซึ่งจะทำให้บริษัทได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีขึ้นในอนาคต
โดยสภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าจะส่งผลบวกต่อผลตอบแทนการลงทุนของบริษัท
- รายได้จากเบี้ยประกันต่ออายุรายปีที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
- ในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นบริษัทประกันชีวิต มีเพียง 2 บริษัท  คือ ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต และ กรุงเทพประกันชีวิต
 
                P/E          P/BV
  BLA      16.77         4.27   
  SCBLIF  14.16         4.27

      เมื่อเปรียบเทียบแล้ว BLA มี P/E ที่สูงกว่า แต่มีสภาพคล่องในการซื้อขายที่มากกว่า
      อย่างไรก็ตาม จากสภาวะที่ดัชนีตลาดโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงคาดว่าจะส่งผลดี ต่อหุ้นบริษัทประกันชีวิต ให้มีงบ Q1.2555 ที่ออกมาโดดเด่นได้

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

ข้อมูลหุ้น TIPCO

บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)

ประกอบธุรกิจ
ผลิตและจำหน่ายสับปะรดกระป๋อง น้ำสับปะรดเข้มข้น น้ำผลไม้รวมและเครื่องดื่ม  จำหน่ายทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

โครงสร้างรายได้ของบริษัท
1.ธุรกิจสับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดเข้มข้น     34.92%
2.ธุรกิจผลไม้รวม,อื่นๆ                                   13.71%
2.ธุรกิจเครื่องดื่มพร้อมดื่ม                               51.37%

ฐานลูกค้าบริษัท
TIPCO มีส่วนแบ่งทางการตลาด  40% ในกลุ่มลูกค้า Premium Market

ผู้ถือหุ้นใหญ่
    ตระกูลทรัพย์สาคร (จำนวน 6 คน)        52.53%
    นางอนุรัตน์     เทียมทัน                      5.59%
    นายณภัทร     ทรัพย์สาคร                   5.01%

ทุนจดทะเบียน  482.58 ล้านหุ้น หุ้นละ  1 บาท

กำไรต่อหุ้น            มูลค่าหุ้นทางบัญชี 
ปี 2551 = 0.12          3.68
ปี 2552 = 0.43          3.35
ปี 2553 = 0.30          3.50
ปี.2554 = 0.71          3.77

ปัจจัยเด่น
- มีส่วนแบ่งการตลาด เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจน้ำผักผลไม้ 100%
- มีลุ้นส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน TASCO 24%
- เปรียบเทียบ  กับ MALEE (ส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 2 ) ณ 27.04.55

                           P/E    P/BV
     MALEE         15.98    6.66
     TIPCO           9.55    1.63
 
  เมื่อเปรียบเทียบแล้ว TIPCO ถือว่า ยังมีราคาที่ถูกกว่า MALEE จึงน่าสนใจในการลงทุน


----------------------------------------------------------------------------------------------------------
Research Update 02.05.55

TIPCO: คาดกำไรสุทธิ 1Q12 แข็งแกร่ง +138% Y-Y จากราคาสัปปะรดถูกลง แต่ความเสี่ยงใน 2H12 มีมากขึ้น

- คาดกำไรสุทธิ 1Q12 อยู่ที่ 126 ล้านบาท (-35% Q-Q, +138% Y-Y) หากไม่รวมส่วนแบ่งกำไร TASCO คาดกำไรอยู่ที่ 90 ล้านบาท (+29% Q-Q, +500% Y-Y) มาจากรายได้การขายในประเทศที่เติบโตดีราว 25% Y-Y ส่วนรายได้ส่งออก Flat Y-Y ในขณะที่ต้นทุนราคาสัปปะรดลดลงต่อเนื่องเฉลี่ย 1Q12 = 3.2 บาท/กก. (-12% Q-Q, -47% Y-Y) โดยราคาล่าสุด เท่ากับ 3.04 บาท/กก. ต่ำสุดในรอบ 5 ปี จึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นยังดีต่อเนื่องราว 35% เพิ่มขึ้นจาก 1Q11 = 28.6%

 - แนวโน้มกำไร 2Q12 ยังดีต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญผลลบค่าแรงขั้นต่ำ แต่คาดรายได้ยังเติบโตดีเพราะอากาศร้อน รวมถึงยังได้ประโยชน์จากราคาวัตถุดิบสัปปะรดราคาต่ำ

- เรามีมุมมองระมัดระวังต่อแนวโน้มกำไร 2H12 สืบเนื่องจากอากาศที่ร้อนและแล้งมากขึ้น อาจเกิดภาวะปริมาณผลผลิตผลไม้ (โดยเฉพาะสัปปะรด) ตึงตัว ซึ่งอาจเป็นลบต่ออัตรากำไรขั้นต้นของ TIPCO นอกจากนี้อาจเป็นลบต่อแนวโน้มกำไรปี 2013 หากภาวะอากาศยังแล้งต่อเนื่อง

-  เรายังคงประมาณการกำไรปีนี้ (ไม่รวม TASCO) เติบโต 41% Y-Y อยู่ที่ 233 ล้านบาท และหากรวม TASCO คาดมีกำไรสุทธิเติบโต 16% Y-Y อยู่ที่ 399 ล้านบาท

-  ราคาหุ้นปรับขึ้นมาแล้ว 13% หลังจากที่เราแนะนำซื้อในรายงานฉบับวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา ปัจจุบันยังมี Upside จากราคาเป้าหมายของเราที่ 8.30 บาท (อิง PE เดิม 10 เท่า) 18% ยังคงแนะนำซื้อ โดยมีมุมมองระมัดระวังมากขึ้นสำหรับต้นทุนวัตถุดิบใน 2H12

FSS Research

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

CPF: ผลการดำเนินงาน CPP ปี 2011 ซึ่งออกมาดีตามคาด

CPF: จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ เราได้รับฟังผลการดำเนินงาน CPP ปี 2011 ซึ่งออกมาดีตามคาด / ราคาเป้าหมาย 42 บาท แนะนำซื้อ
-       ผลการดำเนินงาน CPP ปี 2011 ออกมาดีใกล้เคียงคาด โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ $173 (เราคาดไว้ $182 ล้าน) เป็นการเติบโต 30% Y-Y สาเหตุที่โตดีมาจากรายได้ CPP จีนเติบโตถึง 86% Y-Y และรับรู้รายได้จาก CPV เวียดนามตั้งแต่เดือน ส.ค. 2011 รวม 5 เดือน
-       คาด CPF มีกำไรจากการดำเนินงานในประเทศอ่อนแอใน 1Q12 เพราะราคาเนื้อสัตว์ทั้งหมู และไก่ปรับตัวลงแรง (หมู -12% Q-Q, ไก่ -12% Q-Q) จึงเผชิญภาวะขาดทุนในส่วนของธุรกิจ Farm (หมู, ไก่ในประเทศ) คิดเป็นสัดส่วนราว 20% ของรายได้รวม
-       แต่คาดกำไรสุทธิ 1Q12 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดและทำ New High จาก 1. รับรู้รายได้และกำไร CPP 1 เดือน (ควบรวมแล้วเสร็จวันที่ 8 มี.ค.) และ 2. จะรับรู้รายการพิเศษจากขายเงินลงทุน Alliance CP และกำไรจากประเมินมูลค่าสินทรัพย์ CPV เวียดนาม
-       ความเสี่ยงที่จะทำให้กำไรปีนี้ไม่เป็นไปตามคาดคือ CPF จะเริ่มใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS ในการรับรู้และวัดมูลค่าพันธุ์สัตว์ตั้งแต่ 1Q12 เป็นต้นไป (CPV เริ่มใช้ในปี 2011) จะทำให้เกิดรายการ Realized / Unrealized Gain (Loss) on Fair value of Livestock ในงบกำไรขาดทุน
-       อย่างไรก็ตาม เรายังคาดกำไรปีนี้ทำ New High ตามเดิมที่ 21,599 ล้านบาท (+36% Y-Y) จากการรวม CPP 11 เดือน โดยคาดกำไร CPP จะเติบโตก้าวกระโดดจากการรวม CPV เต็มปี และเชื่อว่าราคาเนื้อสัตว์ในประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ปลาย 2Q12 เป็นต้นไป จากปัจจุบันที่ราคาเริ่มทรงตัว จาก Supply ที่ลดลงเพราะอากาศร้อน และผู้ผลิตเริ่มชะลอการเลี้ยง
-       คงราคาเป้าหมาย 42 บาท แนะนำซื้อ
FSS Research

THCOM ผู้บริหารคาดได้ข้อสรุปเกี่ยวกับธุรกิจมือถือในกัมพูชา เร็วๆ นี้

ผู้บริหารคาดได้ข้อสรุปเกี่ยวกับธุรกิจมือถือในกัมพูชา เร็วๆ นี้
- นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THCOM คาดว่า ในเร็วๆนี้ จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกัมพูชา (MFone) โดยขณะนี้มีผู้สนใจเข้ามาเจรจาซื้อกิจการ การเจรจามีความคืบหน้า หรือหากบริษัทต้องการดำเนินธุรกิจต่อก็จำเป็นต้องหาพันธมิตร
 - ส่วนดาวเทียม iPSTAR ปี นี้คาดว่าคุ้มทุนแน่นอน โดยอัตราการใช้ช่องสัญญาณปีนี้จะอยู่ที่  32-35% จากปลายปีที่แล้ว 25% ในไตรมาส 1/55 มีลูกค้าเซ็นสัญญาแล้ว 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และในเดือนนี้มีลูกค้าใหม่จากญี่ปุ่นเพิ่มอีก 1 รายที่ใช้บริการไอร์พีสตาร์ รวมมีลูกค้าจากญี่ปุ่นที่เป็นรายใหญ่แล้วจำนวน 3 ราย
-  ส่วนการที่รัฐบาลจะเปิดเสรีดาวเทียมรัฐบาล คงต้องไปเจรจากับรัฐบาลเรื่องต้นทุนที่เป็นธรรม เนื่องจากปัจจุบันบริษัทต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ 20.5% และต้องชำระภาษีด้วย หากเปิดแข่งขันเสรีให้ต่างชาติ ต้องมีการแข่งขันที่เท่าเทียมกันด้วย แต่เชื่อว่าประสบการณ์ 20 ปี บริษัทแข่งขันได้ (Source - IQ Biz 29 มี.ค.12)
ความเห็น: การขาย MFone เป็นประเด็นที่ตลาดคอยมานาน ปัจจุบัน THCOM ถือหุ้นทางอ้อม 51% ใน Mfone โดยในช่วงที่ผ่านมา MFone ขาดทุนไตรมาสละ 100-130 ล้านบาท จากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมาก หากขายได้ จะดีต่อผลประกอบการรวมของ THCOM 3 และราคาเป้าหมายเพิ่มจากเดิม 15.80 บาท เป็น 19.70 บาท
ราคาหุ้นเมื่อวาน Rebound ขึ้น 4.7% หลังจากปรับฐานลงไป ~10% ใน 3-4 วันก่อน เนื่องจากช่วงก่อนหน้า ราคาปรับขึ้นมาเร็วมาก ~60% YTD “ซื้อเก็งกำไร” 


FSS Research

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

หุ้นที่น่าสนใจ BCP update 27.03.55

บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)

ประกอบธุรกิจ
ปิโตรเลียมตั้งแต่การจัดหาน้ำมันดิบจากต่างประเทศทั้งแหล่งตะวันออกกลาง ตะวันออกไกล และแหล่งน้ำมันดิบภายในประเทศเข้ามากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูป ด้วยกำลังผลิตสูงสุด 120,000 บาร์เรลต่อวัน และจัดจำหน่ายผ่านเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันภายใต้เครื่องหมายการค้า บางจาก กว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ


ผู้ถือหุ้นใหญ่
    บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)         27.22%
    กระทรวงการคลัง                             9.98%
    บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด           5.14%


ทุนจดทะเบียน  1,376,923,157 ล้านหุ้น หุ้นละ  1  บาท


 

กำไรต่อหุ้น               มูลค่าหุ้นทางบัญชี
ปี 2551 = -0.67        20.60
ปี 2552 =  6.57        21.27
ปี 2553 =  2.40        22.05
ปี 2554 =  4.24        21.18

ปัจจัยเด่น
-  น้ำมันทรงตัวระดับสูงที่ 107 เหรียญ ทำให้มีลุ้นกำไรสต๊อคน้ำมัน

-  เปรียบเทียบ P/BV , P/E ในกลุ่มธุรกิจที่คล้ายกัน


                       P/E    P/BV
     TOP         9.75    1.82
     ESSO    46.77    1.79
     IRPC      23.78    1.29
     BCP         5.69    1.07
     SUSCO    8.84    0.91
     RPC          5.65    0.63
  
         ถือได้ว่า อยู่อันดับกลางๆ และ P/E P/BV ยังอยู่ในระดับต่ำ
 

- โครงการเด่นๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ ได้แก่
        - โครงการยูโร 4 น้ำมันคุณภาพสูง ช่วยเพิ่ม  Margin
        - โครงการผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ปัจจุบันมี 38MV อนาคตโตต่อเนื่อง
           จากแผนงานลุยโซล่าเฟส 2 หนุน EBITDA โตปีละ 400 ล้านบาท กำลังการผลิต 25 MV 

           ซึ่งในอนาคตวางแผนจะมีทั้งหมด 118 MV 

จากข่าว NVDR ให้สิทธิ์ถือหุ้น KBANK , BBL ได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 30 เป็น ร้อยละ 35

 หรือเพิ่มขึ้น  ร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นจดทะเบียน



ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนหุ้นหมุนเวียน
KBANK
BBL
จำนวนหุ้นที่จดทะเบียนและชำระแล้ว (:ล้านหุ้น)
2,393
1,909
จำนวนหุ้นที่ซื้อเพิ่มได้ (:ล้านหุ้น)
119
95
จำนวนหุ้นที่ซื้อขายย้อนหลังเฉลี่ย 5 วันทำการ 
(:ล้านหุ้น)
8
6
จากการเก็บข้อมูลการซื้อขาย NVDR
เฉพาะในเดือนมีนาคมพบว่าซื้อหุ้นไปแล้วจำนวน
7
13
อัตราส่วนทางการเงิน


P/E
14.72
13.23
P/BV
2.30
1.48

















xBE>  THAINVDR:การอนุญาตให้ ThaiNVDR ถือหุ้น KBANK ในอัตราไม่เกินร้อยละ 35
                 27 มี.ค.--SET
เรียน    กรรมการผู้จัดการ
          ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เรื่อง     การอนุญาตให้บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้นหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของ
           ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในอัตราไม่เกินร้อยละ 35 ของจำนวนหุ้น
           ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคาร

อ้างถึง   หนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ ธปท.ฝกก.(21) 493 /2555
           เรื่อง การขออนุญาตถือหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ
           ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เกินอัตราที่กฏหมายกำหนด

           ตามที่  บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (ไทยเอ็นวีดีอาร์)
ได้มีหนังสือขออนุญาตถือหุ้นหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เกินร้อยละ 30
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคาร นั้น

           ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตให้ ไทยเอ็นวีดีอาร์ ถือหุ้นหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของ ธนาคาร
กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในอัตราไม่เกินร้อยละ 35 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคาร
โดยมีผลเป็นระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2555
- 23 มีนาคม 2558

           จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

                                                ขอแสดงความนับถือ
                              บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด
______________________________________________________________________
--จบ--


xBE>  THAINVDR:การอนุญาตให้ ThaiNVDR ถือหุ้น BBL ในอัตราไม่เกินร้อยละ 35
                 27 มี.ค.--SET
เรียน    กรรมการผู้จัดการ
          ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เรื่อง    การอนุญาตให้บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้นหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของ
          ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในอัตราไม่เกินร้อยละ 35 ของจำนวนหุ้นที่
          จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคาร

อ้างถึง  หนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ ธปท.ฝกก.(21) 493/2555
          เรื่อง การขออนุญาตถือหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ
          ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด

          ตามที่ บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (ไทยเอ็นวีดีอาร์)
ได้มีหนังสือขออนุญาตถือหุ้นหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เกินร้อยละ 30
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคาร นั้น

          ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้อนุญาตให้ ไทยเอ็นวีดีอาร์ ถือหุ้นหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของธนาคาร กรุงเทพ
จำกัด (มหาชน) ในอัตราไม่เกินร้อยละ 35 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคาร
โดยมีผลเป็นระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2555 - 23 มีนาคม 2555

          จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

            ขอแสดงความนับถือ
                                          บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด
______________________________________________________________________
--จบ--

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ข้อมูลหุ้น IPO หุ้น PJW ที่จะซื้อขายวันที่ 28.02.55

บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน)

ประกอบธุรกิจ
บริษัทดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภท ขวดและฝา และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์ที่มีคุณภาพ
เช่น น้ำมันหล่อลื่น นมและนมเปรี้ยว สินค้าอุปโภคและบริโภค สารเคมีสำหรับการเกษตร และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์

โครงสร้างรายได้ของบริษัท
1.รายได้จากภาชนะบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น              64.01%
2.รายได้จากภาชนะบรรจุภัณฑ์นมและนมเปรี้ยว           12.95%
3.รายได้จากภาชนะบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค        6.03%
4.รายได้จากภาชนะบรรจุภัณฑ์เคมีสำหรับสินค้าเกษตร    4.89%
5.ชิ้นส่วนยานยนต์ 10.78%
   

ฐานลูกค้าบริษัท
 ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่มีตราสินค้าเป็นที่รู้จักในแต่ละอุตสหากรรม


ผู้ถือหุ้นใหญ่
    ตระกูลเหมมณฑารพ    70.22%
   

ทุนจดทะเบียน  552 ล้านหุ้น หุ้นละ  0.50 บาท
โดยจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไป 108 ล้านหุ้น  กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน 4 ล้านหุ้น

กำไรต่อหุ้น                      มูลค่าหุ้นทางบัญชี 
ปี 2551 = 0.175       
ปี 2552 = 0.185       
ปี 2553 = 0.271              0.82   
9 เดือนปี 2554 = 0.255    1.27           

ราคา IPO = 3.60 บาท

ปัจจัยเด่น
- เปรียบเทียบกับธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน  TPAC
  Net Profit Margin ณ 9 เดือน 2554  TPAC = 5.60 %
                                                     PJW = 9.00 %

  D/E Ratio ปี 2554 TPAC = 1.16    เท่า
                              PJW = 1.18    เท่า
                                                  (คำนวณจากงบงวด 9 เดือน 2554 และรวมกับการเพิ่มทุน)   

- ประเมินมูลค่าที่เหมาะสม อย่างน้อยไม่ควรจะต่ำกว่า P/E TPAC ที่ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 12.63 เท่า
  เนื่องจาก PJW มีความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่า

 ประมาณการกำไรงวด 1 ปี ของ PJW ((0.255/3)*4) = 0.34 บาทต่อหุ้น * 12.63 = 4.30 บาทต่อหุ้น

- เปรียบเทียบกับหุ้น IPO ล่าสุดอย่าง HYDRO ซื้อขายที่ระดับ P/E 13.62 เท่า
  0.34 * 13.62 = 4.63 บาทต่อหุ้น

- เปรียบเทียบกับ P/E ตลาด ซื้อขายที่ระดับ 14 เท่า
  0.34 * 14.00 = 4.76 บาทต่อหุ้น


    ดังนั้น จึงคาดว่าราคาเปิดของหุ้นจะไม่ต่ำกว่า  4.30 บาทต่อหุ้น
             และมีลุ้นเล่นเก็งกำไรไปที่ระดับ  5.00 บาท
             จากสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ในระดับ NEW HIGH ในรอบ 15 ปี

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ข้อมูลหุ้น RPC

บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน)

ประกอบธุรกิจ
ดำเนินการกลั่น คอนเดนเสทเรสซิดิว (CR) ซึ่งเป็นวัตถุดิบผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด  (มหาชน) (PTTGC) ซึ่งจะทำสัญญากับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ได้แก่ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเตา และเคมีภัณฑ์
โดย โรงกลั่นมีกำลังผลิตสูงสุด 17,000 บาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 80 ล้านลิตรต่อเดือน

โครงสร้างรายได้ของบริษัท ปี 2553
1.รายได้จากขายในประเทศ
    น้ำมันดีเซล             61.85%
    น้ำมันเบนซิน 91     11.76%
    Gasohol                   4.75%
2.รายได้จากการส่งออก     16.00%
3.รายได้อื่นๆ                         5.64%

ฐานลูกค้าบริษัท
1.ตลาดค้าปลีก
    สถานีบริการประเภทบริหารด้วยตนเอง (Company Operate : CO) ดำเนินการภายใต้ชื่อ “เพียว" (PURE) มีสถานีบริการ 73 แห่ง
    สถานีบริการประเภทบริหารโดยบุคคลภายนอกหรือแฟรนไชส์ (Franchise: FC) มีสถานีบริการ 5 แห่ง
2.ตลาดค้าส่ง 
3.ลูกค้าต่างประเทศ ผ่านนายหน้า ได้แก่ สิงคโปร์ จีน เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา

ผู้ถือหุ้นใหญ่
    บริษัท เพทโทร-อินสตรูเมนท์ จำกัด     29.87%
    นายธวัช อึ้งสุประเสริฐ                            3.78%
    นายปิติ ธรรมมงคล                                 3.61%  


ทุนจดทะเบียน  530 ล้านหุ้น หุ้นละ  1  บาท

กำไรต่อหุ้น                            มูลค่าหุ้นทางบัญชี 
ปี 2551 = -1.01                    2.43
ปี 2552 =  0.69                    2.26
ปี 2553 =  0.40                    2.46
9 เดือน ปี 2554 = 0.25        2.84


ปัจจัยเด่น
-  มี P/BV ปัจจุบันอยู่ที่ 0.7 เท่า ถือว่าต่ำสุดเมื่อเทียบกับ หุ้นที่ประกอบธุรกิจคล้ายกัน 
    TOP       P/BV = 1.59 เท่า
    ESSO    P/BV = 1.47 เท่า
    IRPC      P/BV = 1.09 เท่า
    BCP       P/BV = 0.88 เท่า
    SUSCO    P/BV = 0.91 เท่า


    จาก P/BV ที่อยู่ในระดับต่ำ และ อยู่ในอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าถึงยาก ทำให้มีแนวโน้มที่จะมีการเข้าซื้อกิจการได้ 


- จุดด้อยของบริษัทนี้คือ
    - มี อัตราการทำกำไรสุทธิต่ำ โดยเฉลี่ยเพียง 1% ของรายได้รวม
    - ต้องพึ่งพาวัตถุดิบ คอนเดนเสทเรสซิดิว (CR) จากการทำสัญญากับบริษัท PTT เพียงรายเดียว ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาบอกเลิกสัญญาอยู่

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

ข้อมูลหุ้น NPK

บริษัท นิวพลัสนิตติ้ง จำกัด (มหาชน)

ประกอบธุรกิจ
โรงงานอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ได้แก่ ถุงน่อง ถุงเท้า  ชุดชั้นในสตรี ชุดกายบริหาร ชุดนอน

โครงสร้างรายได้ของบริษัท
1.รายได้จากถุงน่อง ถุงเท้า                               77.07%
2.รายได้จากชุดชั้นใน ชุดกายบริหาร ชุดนอน   21.89%
3.รายได้อื่นๆ                                                        1.04%

ฐานลูกค้าบริษัท
จำหน่ายให้บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 14.79%
แล้วนำไปจำหน่ายผู้บริโภคทั่วไปภายใต้ BRAND CHERILON

ผู้ถือหุ้นใหญ่
        บริษัท บุญวัฒนโชค จำกัด                         27.38%
        บริษัท ยูนีเวอร์สบิวตี้ จำกัด                        15.99%
        บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด (มหาชน)  14.79%

ทุนจดทะเบียน  10 ล้านหุ้น หุ้นละ  10 บาท

กำไรต่อหุ้น                                มูลค่าหุ้นทางบัญชี 
ปี 2551   =          0.43                          -5.6
ปี 2552   =          7.54                           1.9
ปี 2553   =          6.09                           8.0
9เดือน.2554 =    5.48                        13.55


ปัจจัยเด่น
- ราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย = 1.20 บาท ซึ่งช่วงนั้นมีผลการดำเนินงานขาดทุนหนัก  -3.14 บาทต่อหุ้น
ปัจจุบันผลิกกลับมามีกำไรโดยเฉลี่ยปีละ  7 บาทต่อหุ้น (3 ปีล่าสุดโดยประมาณ)

- จำนวนหุ้นหมุนเวียนน้อยมาก เพียงแค่ 45% ของ 10 ล้านหุ้น (55% ติด silent period)

>>> เทียบกับ บริษัทที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่คล้ายกัน คือ WACOAL และ SABINA
    WACOAL  P/E = 12.58 เท่า  P/BV = 1.16 เท่า จำนวนหุ้น 120 ล้านหุ้น
    SABINA     P/E = 81.43 เท่า  P/BV = 6.18 เท่า จำนวนหุ้น    70 ล้านหุ้น

      จากการประเมิน ถ้านำ P/E และ P/BV ของ SABINA มาประเมินจะพบว่ามีราคาที่สูงมากผิดปกติ
      ยากที่จะนำมาคิดได้ต่อว่าจะลงทุนราคาหุ้นที่ระดับ RATIO ที่สูงขนาดนี้ด้วยเหตุผลอะไร จึงไม่ขอนำมาคำนวณในกรณีนี้


 แต่หากนำ P/E และ P/BV ของ WACOAL มาประเมินจะได้ราคาที่เหมาะสมดังนี้
  P/E = 12.58 เท่า  ราคาหุ้น NPK = 88.06 บาท 
  P/BV = 1.16 เท่า  ราคาหุ้น NPK = 15.72 บาท

 ประเมินราคาหุ้นที่ควรจะเป็น = นำทุกวิธีการประเมินเปรียบเทียบมารวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ย
 = (88.06 + 15.72)/2 = 52.89 บาท

>>> เทียบกับ บริษัทที่ในอดีตหยุดการซื้อขายแล้วกลับเข้ามาซื้อขายใหม่ โดยไม่มีการเปลี่ยนธุรกิจ หรือ เพิ่มจำนวนหุ้น คือ MALEE   P/E = 10.42 เท่า  P/BV =  3.11 เท่า จำนวนหุ้น 70 ล้านหุ้น
  P/E = 10.42 เท่า  ราคาหุ้น NPK = 70.00 บาท 
  P/BV = 3.11 เท่า  ราคาหุ้น NPK = 42.14 บาท

 ประเมินราคาหุ้นที่ควรจะเป็น = นำทุกวิธีการประเมินเปรียบเทียบมารวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ย
 = (70.00 + 42.14)/2 = 56.07 บาท

มุมมองส่วนตัว
>>> จากการประเมินทั้ง 2 วิธี พบว่า ได้ราคาใกล้เคียงกัน จึงคาดการณ์ว่า ราคาซื้อขาย จะอยู่บริเวณ 50-60 บาท และสิ่งที่ต้องระวังคือ หุ้นอาจจะไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขาย เนื่องจากมีจำนวนหุ้นที่น้อยเกินไป และราคาซึ่งสูงจากในอดีตที่ราคา 1.20 บาทมาก อาจจะทำให้ไม่มีรายย่อยกล้าเข้าไปซื้อ จึงทำให้ไม่มีความคึกคัก และขาดสภาพคล่องได้ (แต่หากมองอีกมุมว่า มีหุ้นน้อย ไม่มีคนซื้อมาก ราคาก็อาจจะถูกลากได้ง่ายเช่นกัน)









หมายเหตุ
>>> ในการลงทุนหุ้นชนิดนี้ โปรดใช้วิจารณญาณและความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งครับ
>>> ข้อมูลในนี้เป็นเพียงการหาข้อมูลจากรายงานที่อยู่ใน www.set.or.th และประกอบการพิจารณาโดยมุมมองส่วนตัวเท่านั้น
ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับใครหรือบริษัทใด รวมทั้งไม่รับประกันถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลไปใช้ในการลงทุน