วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ข้อมูลหุ้น RPC

บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน)

ประกอบธุรกิจ
ดำเนินการกลั่น คอนเดนเสทเรสซิดิว (CR) ซึ่งเป็นวัตถุดิบผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด  (มหาชน) (PTTGC) ซึ่งจะทำสัญญากับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ได้แก่ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเตา และเคมีภัณฑ์
โดย โรงกลั่นมีกำลังผลิตสูงสุด 17,000 บาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 80 ล้านลิตรต่อเดือน

โครงสร้างรายได้ของบริษัท ปี 2553
1.รายได้จากขายในประเทศ
    น้ำมันดีเซล             61.85%
    น้ำมันเบนซิน 91     11.76%
    Gasohol                   4.75%
2.รายได้จากการส่งออก     16.00%
3.รายได้อื่นๆ                         5.64%

ฐานลูกค้าบริษัท
1.ตลาดค้าปลีก
    สถานีบริการประเภทบริหารด้วยตนเอง (Company Operate : CO) ดำเนินการภายใต้ชื่อ “เพียว" (PURE) มีสถานีบริการ 73 แห่ง
    สถานีบริการประเภทบริหารโดยบุคคลภายนอกหรือแฟรนไชส์ (Franchise: FC) มีสถานีบริการ 5 แห่ง
2.ตลาดค้าส่ง 
3.ลูกค้าต่างประเทศ ผ่านนายหน้า ได้แก่ สิงคโปร์ จีน เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา

ผู้ถือหุ้นใหญ่
    บริษัท เพทโทร-อินสตรูเมนท์ จำกัด     29.87%
    นายธวัช อึ้งสุประเสริฐ                            3.78%
    นายปิติ ธรรมมงคล                                 3.61%  


ทุนจดทะเบียน  530 ล้านหุ้น หุ้นละ  1  บาท

กำไรต่อหุ้น                            มูลค่าหุ้นทางบัญชี 
ปี 2551 = -1.01                    2.43
ปี 2552 =  0.69                    2.26
ปี 2553 =  0.40                    2.46
9 เดือน ปี 2554 = 0.25        2.84


ปัจจัยเด่น
-  มี P/BV ปัจจุบันอยู่ที่ 0.7 เท่า ถือว่าต่ำสุดเมื่อเทียบกับ หุ้นที่ประกอบธุรกิจคล้ายกัน 
    TOP       P/BV = 1.59 เท่า
    ESSO    P/BV = 1.47 เท่า
    IRPC      P/BV = 1.09 เท่า
    BCP       P/BV = 0.88 เท่า
    SUSCO    P/BV = 0.91 เท่า


    จาก P/BV ที่อยู่ในระดับต่ำ และ อยู่ในอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าถึงยาก ทำให้มีแนวโน้มที่จะมีการเข้าซื้อกิจการได้ 


- จุดด้อยของบริษัทนี้คือ
    - มี อัตราการทำกำไรสุทธิต่ำ โดยเฉลี่ยเพียง 1% ของรายได้รวม
    - ต้องพึ่งพาวัตถุดิบ คอนเดนเสทเรสซิดิว (CR) จากการทำสัญญากับบริษัท PTT เพียงรายเดียว ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาบอกเลิกสัญญาอยู่

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

ข้อมูลหุ้น NPK

บริษัท นิวพลัสนิตติ้ง จำกัด (มหาชน)

ประกอบธุรกิจ
โรงงานอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ได้แก่ ถุงน่อง ถุงเท้า  ชุดชั้นในสตรี ชุดกายบริหาร ชุดนอน

โครงสร้างรายได้ของบริษัท
1.รายได้จากถุงน่อง ถุงเท้า                               77.07%
2.รายได้จากชุดชั้นใน ชุดกายบริหาร ชุดนอน   21.89%
3.รายได้อื่นๆ                                                        1.04%

ฐานลูกค้าบริษัท
จำหน่ายให้บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 14.79%
แล้วนำไปจำหน่ายผู้บริโภคทั่วไปภายใต้ BRAND CHERILON

ผู้ถือหุ้นใหญ่
        บริษัท บุญวัฒนโชค จำกัด                         27.38%
        บริษัท ยูนีเวอร์สบิวตี้ จำกัด                        15.99%
        บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด (มหาชน)  14.79%

ทุนจดทะเบียน  10 ล้านหุ้น หุ้นละ  10 บาท

กำไรต่อหุ้น                                มูลค่าหุ้นทางบัญชี 
ปี 2551   =          0.43                          -5.6
ปี 2552   =          7.54                           1.9
ปี 2553   =          6.09                           8.0
9เดือน.2554 =    5.48                        13.55


ปัจจัยเด่น
- ราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย = 1.20 บาท ซึ่งช่วงนั้นมีผลการดำเนินงานขาดทุนหนัก  -3.14 บาทต่อหุ้น
ปัจจุบันผลิกกลับมามีกำไรโดยเฉลี่ยปีละ  7 บาทต่อหุ้น (3 ปีล่าสุดโดยประมาณ)

- จำนวนหุ้นหมุนเวียนน้อยมาก เพียงแค่ 45% ของ 10 ล้านหุ้น (55% ติด silent period)

>>> เทียบกับ บริษัทที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่คล้ายกัน คือ WACOAL และ SABINA
    WACOAL  P/E = 12.58 เท่า  P/BV = 1.16 เท่า จำนวนหุ้น 120 ล้านหุ้น
    SABINA     P/E = 81.43 เท่า  P/BV = 6.18 เท่า จำนวนหุ้น    70 ล้านหุ้น

      จากการประเมิน ถ้านำ P/E และ P/BV ของ SABINA มาประเมินจะพบว่ามีราคาที่สูงมากผิดปกติ
      ยากที่จะนำมาคิดได้ต่อว่าจะลงทุนราคาหุ้นที่ระดับ RATIO ที่สูงขนาดนี้ด้วยเหตุผลอะไร จึงไม่ขอนำมาคำนวณในกรณีนี้


 แต่หากนำ P/E และ P/BV ของ WACOAL มาประเมินจะได้ราคาที่เหมาะสมดังนี้
  P/E = 12.58 เท่า  ราคาหุ้น NPK = 88.06 บาท 
  P/BV = 1.16 เท่า  ราคาหุ้น NPK = 15.72 บาท

 ประเมินราคาหุ้นที่ควรจะเป็น = นำทุกวิธีการประเมินเปรียบเทียบมารวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ย
 = (88.06 + 15.72)/2 = 52.89 บาท

>>> เทียบกับ บริษัทที่ในอดีตหยุดการซื้อขายแล้วกลับเข้ามาซื้อขายใหม่ โดยไม่มีการเปลี่ยนธุรกิจ หรือ เพิ่มจำนวนหุ้น คือ MALEE   P/E = 10.42 เท่า  P/BV =  3.11 เท่า จำนวนหุ้น 70 ล้านหุ้น
  P/E = 10.42 เท่า  ราคาหุ้น NPK = 70.00 บาท 
  P/BV = 3.11 เท่า  ราคาหุ้น NPK = 42.14 บาท

 ประเมินราคาหุ้นที่ควรจะเป็น = นำทุกวิธีการประเมินเปรียบเทียบมารวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ย
 = (70.00 + 42.14)/2 = 56.07 บาท

มุมมองส่วนตัว
>>> จากการประเมินทั้ง 2 วิธี พบว่า ได้ราคาใกล้เคียงกัน จึงคาดการณ์ว่า ราคาซื้อขาย จะอยู่บริเวณ 50-60 บาท และสิ่งที่ต้องระวังคือ หุ้นอาจจะไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขาย เนื่องจากมีจำนวนหุ้นที่น้อยเกินไป และราคาซึ่งสูงจากในอดีตที่ราคา 1.20 บาทมาก อาจจะทำให้ไม่มีรายย่อยกล้าเข้าไปซื้อ จึงทำให้ไม่มีความคึกคัก และขาดสภาพคล่องได้ (แต่หากมองอีกมุมว่า มีหุ้นน้อย ไม่มีคนซื้อมาก ราคาก็อาจจะถูกลากได้ง่ายเช่นกัน)









หมายเหตุ
>>> ในการลงทุนหุ้นชนิดนี้ โปรดใช้วิจารณญาณและความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งครับ
>>> ข้อมูลในนี้เป็นเพียงการหาข้อมูลจากรายงานที่อยู่ใน www.set.or.th และประกอบการพิจารณาโดยมุมมองส่วนตัวเท่านั้น
ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับใครหรือบริษัทใด รวมทั้งไม่รับประกันถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลไปใช้ในการลงทุน