ประกอบธุรกิจ
ผลิตและจำหน่ายสับปะรดกระป๋อง น้ำสับปะรดเข้มข้น น้ำผลไม้รวมและเครื่องดื่ม จำหน่ายทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
โครงสร้างรายได้ของบริษัท
1.ธุรกิจสับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดเข้มข้น 34.92%
2.ธุรกิจผลไม้รวม,อื่นๆ 13.71%
2.ธุรกิจเครื่องดื่มพร้อมดื่ม 51.37%
ฐานลูกค้าบริษัท
TIPCO มีส่วนแบ่งทางการตลาด 40% ในกลุ่มลูกค้า Premium Market
ผู้ถือหุ้นใหญ่
ตระกูลทรัพย์สาคร (จำนวน 6 คน) 52.53%
นางอนุรัตน์ เทียมทัน 5.59%
นายณภัทร ทรัพย์สาคร 5.01%
ทุนจดทะเบียน 482.58 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 บาท
กำไรต่อหุ้น มูลค่าหุ้นทางบัญชี
ปี 2551 = 0.12 3.68
ปี 2552 = 0.43 3.35
ปี 2553 = 0.30 3.50
ปี.2554 = 0.71 3.77
ปัจจัยเด่น
- มีส่วนแบ่งการตลาด เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจน้ำผักผลไม้ 100%
- มีลุ้นส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน TASCO 24%
- เปรียบเทียบ กับ MALEE (ส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 2 ) ณ 27.04.55
P/E P/BV
MALEE 15.98 6.66
TIPCO 9.55 1.63
เมื่อเปรียบเทียบแล้ว TIPCO ถือว่า ยังมีราคาที่ถูกกว่า MALEE จึงน่าสนใจในการลงทุน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
Research Update 02.05.55
TIPCO: คาดกำไรสุทธิ 1Q12 แข็งแกร่ง +138% Y-Y จากราคาสัปปะรดถูกลง แต่ความเสี่ยงใน 2H12 มีมากขึ้น
- คาดกำไรสุทธิ 1Q12 อยู่ที่ 126 ล้านบาท (-35% Q-Q, +138% Y-Y) หากไม่รวมส่วนแบ่งกำไร TASCO คาดกำไรอยู่ที่ 90 ล้านบาท (+29% Q-Q, +500% Y-Y) มาจากรายได้การขายในประเทศที่เติบโตดีราว 25% Y-Y ส่วนรายได้ส่งออก Flat Y-Y ในขณะที่ต้นทุนราคาสัปปะรดลดลงต่อเนื่องเฉลี่ย 1Q12 = 3.2 บาท/กก. (-12% Q-Q, -47% Y-Y) โดยราคาล่าสุด เท่ากับ 3.04 บาท/กก. ต่ำสุดในรอบ 5 ปี จึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นยังดีต่อเนื่องราว 35% เพิ่มขึ้นจาก 1Q11 = 28.6%
- แนวโน้มกำไร 2Q12 ยังดีต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญผลลบค่าแรงขั้นต่ำ แต่คาดรายได้ยังเติบโตดีเพราะอากาศร้อน รวมถึงยังได้ประโยชน์จากราคาวัตถุดิบสัปปะรดราคาต่ำ
- เรามีมุมมองระมัดระวังต่อแนวโน้มกำไร 2H12 สืบเนื่องจากอากาศที่ร้อนและแล้งมากขึ้น อาจเกิดภาวะปริมาณผลผลิตผลไม้ (โดยเฉพาะสัปปะรด) ตึงตัว ซึ่งอาจเป็นลบต่ออัตรากำไรขั้นต้นของ TIPCO นอกจากนี้อาจเป็นลบต่อแนวโน้มกำไรปี 2013 หากภาวะอากาศยังแล้งต่อเนื่อง
- เรายังคงประมาณการกำไรปีนี้ (ไม่รวม TASCO) เติบโต 41% Y-Y อยู่ที่ 233 ล้านบาท และหากรวม TASCO คาดมีกำไรสุทธิเติบโต 16% Y-Y อยู่ที่ 399 ล้านบาท
- ราคาหุ้นปรับขึ้นมาแล้ว 13% หลังจากที่เราแนะนำซื้อในรายงานฉบับวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา ปัจจุบันยังมี Upside จากราคาเป้าหมายของเราที่ 8.30 บาท (อิง PE เดิม 10 เท่า) 18% ยังคงแนะนำซื้อ โดยมีมุมมองระมัดระวังมากขึ้นสำหรับต้นทุนวัตถุดิบใน 2H12
FSS Research
FSS Research